แอลจี ประกาศแผนดำเนินงานเพื่อการบรรลุเป้าหมาย “FUTURE VISION 2030” พร้อมด้วยแนวทางและนโยบายจัดการโครงสร้างองค์กร ที่เน้นการ “ก้าวข้ามขีดจำกัด”

ลาสเวกัส, 16 มกราคม 2567 – นายวิลเลียม โช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของแอลจี อิเลคทรอนิคส์ (แอลจี) ได้ประกาศกลยุทธ์ธุรกิจ เพื่อการบรรลุเป้าหมาย “FUTURE VISION 2030” ภายในงานแถลงข่าวที่ลาสเวกัส รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา

นายวิลเลียม โช ได้ระบุถึง 3 จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะพลิกโฉมธุรกิจและประสบการณ์ที่ลูกค้าแอลจีจะได้รับ ได้แก่ การใช้พลังงานไฟฟ้า การให้บริการ และการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งแอลจีมีความพยายามที่จะก้าวผ่านความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของความไม่แน่นอนของตลาดและซัพพลาย ด้วยการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์เป็นหลักและมีจิตวิญญาณแห่งผู้ชนะ

“ถ้าปี 2566 เป็นปีแห่งการกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงใหม่ของแอลจี เราก็จะทำให้ปี 2567 เป็นปีที่เร่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง โดยวิสัยทัศน์ ‘Future Vision 2030’ ถือเป็นคำมั่นสัญญาของเราที่มีต่อตลาด และลูกค้าของเรา และพวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้คำมั่นสัญญาของเราเป็นความจริง” นายวิลเลียมกล่าว

นอกจากนี้นายวิลเลียม โช ยังได้ประกาศในปีที่แล้วว่า “Future Vision 2030” จะเป็นเป้าหมายระยะยาวที่จะเปลี่ยนแอลจีเป็นบริษัท ‘Smart Life Solution Company’ ที่ช่วยเชื่อมต่อและขยายประสบการณ์ของลูกค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงพื้นที่ในบ้าน พื้นที่การค้า ยานพาหนะ และโลกเสมือนจริง

เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในอนาคตด้วยการลงทุน

นายวิลเลียม โช ยังได้เน้นข้อความสำคัญในเรื่องการ ‘ก้าวข้ามขีดจำกัด’  ทั้งยังเป็นปรัชญาพื้นฐานของนโยบายการบริหารในปี 2567 โดยได้กำหนดประเด็นสำคัญ 3 เรื่องสำหรับการเติบโตในอนาคต ได้แก่ โมเดลธุรกิจที่ไม่ใช้ฮาร์ดแวร์ การขยายธุรกิจแบบ B2B และการพัฒนาธุรกิจใหม่ โดยแอลจีจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ทโฟลิโอของบริษัทต่อไป

ทั้งนี้ บริษัทจะเริ่มต้นการเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโต ด้วยการขยายการลงทุนตามลำดับสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยในปีนี้ แอลจีจะเพิ่มการลงทุนเป็นเท่าตัว คิดเป็นงบประมาณกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการลงทุนด้านการวิจัยและส่วนสำคัญด้านอื่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน และการก้าวไปข้างหน้าขององค์กร

การเติบโตและผลกำไรที่สูงขึ้นของกลุ่มธุรกิจหลักของแอลจี ส่งผลให้ในปี 2567 เราจะได้เห็นการลงทุนที่สูงขึ้น ทั้งในส่วนของธุรกิจ B2B ได้แก่ ธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ HVAC เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบบิ้วท์อิน ป้ายดิจิทัล และยังรวมไปถึงส่วนธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม webOS เป็นต้น และลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และธุรกิจเกี่ยวกับหุ่นยนต์ ซึ่งแอลจีมีแผนจะลงทุนเป็นมูลค่าสูงกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2573 เพื่อเปลี่ยนแปลงพอร์ทโฟลิโอของบริษัทและการเติบโตอย่างมีคุณภาพขององค์กร

นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี แอลจียังมองหาโอกาสการเติบโตอื่น ๆ ทั้งจากการควบรวมกิจการ การซื้อกิจการ การเป็นหุ้นส่วนในกิจการต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการปรับใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตจากภายใน นอกจากนี้ แอลจีจะยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่จะมาปฏิวัติวงการและสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่ลูกค้าของเรา เช่น เทคโนโลยี AI หรือ Mixed Reality (MR)

นายวิลเลียม โช ได้กล่าวถึงการจัดตั้งบริษัทใหม่ คือ Overseas Sales and Marketing Company ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีค่าในการช่วยให้แอลจี “ก้าวข้ามขีดจำกัด” และยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แอลจีประสบความสำเร็จในระดับโลก โดยสามารถทำยอดขายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 จากยอดขายทั้งหมด  บริษัทใหม่นี้ใช้กลยุทธ์แบบเฉพาะเจาะจงพิเศษที่คำนึงถึงความแตกต่างของตลาดในแต่ละภูมิภาค ซึ่งธุรกิจดังกล่าวยังได้เพิ่มศักยภาพให้กับผลประกอบการของธุรกิจทั่วโลก และยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพ และการเติบโตให้กับบริษัทในเครือของแอลจีในต่างประเทศอีกด้วย

บรรลุเป้าหมาย ‘Triple Seven’ เพื่อการเติบโต ผลกำไร และมูลค่า

ในส่วนของธุรกิจบริการด้านแพลตฟอร์มพื้นฐาน ธุรกิจ B2B และกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ ที่เป็นตัวผลักดันหลักสามด้านของแอลจี ทางบริษัทได้ตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมาย ‘Triple Seven’ หรือการเติบโตเฉลี่ยและผลกำไรจากการดำเนินงานตั้งแต่ 7% ขึ้นไป รวมถึงเพิ่มมูลค่าองค์กรตามหน่วยวัด EBITDA ให้อยู่ที่ระดับ 7

แม้ว่าความต้องการทางการตลาดในปีที่ผ่านมาจะลดลง แต่แอลจีมีผลการเติบโตที่น่าประทับใจจากการเติบโตของธุรกิจในกลุ่ม B2B โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตโดยรวมของธุรกิจ B2B ของแอลจีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเป็นเลขสองหลัก และมีอัตราการเติบโตต่อปีของยอดขายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 8%

กลุ่มธุรกิจโซลูชันส่วนประกอบยานยนต์  Vehicle component Solutions (VS) ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักของแอลจี โดยมียอดขายทั้งปีสูงถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลานานถึง 10 ปี  โดยเทรนด์การเปลี่ยนไปใช้งานรถพลังงานไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก ทำให้มีความต้องการชิ้นส่วน EV มูลค่าสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในด้านที่แอลจีมีความเชี่ยวชาญ

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจระบบความบันเทิงภายในรถยนต์ (IVI) ระบบส่งกำลังไฟฟ้า และระบบส่องสว่างในยานยนต์ของกลุ่มธุรกิจ VS จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยในปี 2567 บริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับเรื่องศักยภาพจากซอฟต์แวร์ในยานพาหนะ การขยายฐานลูกค้าในกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ EV รวมถึงการเสริมความเป็นผู้นำในตลาดหลอดไฟอัจฉริยะ และเพื่อตอบสนองยอดสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตในภูมิภาคอเมริกากลาง อเมริกาใต้ และยุโรป

ธุรกิจ HVAC (Heating, Ventilation, and Air-conditioning) เป็นอีกหนึ่งธุรกิจ B2B ของแอลจีที่มีความสำคัญและมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดใหม่ เช่น ภูมิภาคเอเชีย อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ รวมถึงยังได้พบโอกาสธุรกิจใหม่ ๆ ในตลาดภูมิภาคยุโรปและอมเริกาเหนือ ซึ่งมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูงอย่างแข็งแกร่ง โดยกลุ่มธุรกิจ HVAC ของแอลจี เล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนเทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข็งขัน เช่น มอเตอร์และคอมเพรสเซอร์ต่าง ๆ เป็นต้น โดยหลังจากก่อตั้งกลุ่มความร่วมมือเพื่อการวิจัยด้านปั๊มความร้อนขั้นสูงในอลาสกา สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แอลจีวางแผนที่จะสร้างฐานวิจัยอีกหนึ่งแห่งในยุโรปในปีนี้ และตั้งใจที่จะขยายธุรกิจด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศแบบใหม่ เช่น Dedicated Outdoor Air System หรือระบบปรับอากาศโดยการนำอากาศภายนอกสู่ภายในอาคาร เป็นต้น

เนื่องจากธุรกิจในกลุ่ม B2B เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อยกว่าธุรกิจในกลุ่ม B2C แอลจีจึงให้การสนับสนุนธุรกิจ B2B เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านยอดขายและกำไร โดยแอลจีได้ประกาศแผนการขยายธุรกิจ B2B และกำลังพยายามเพิ่มยอดขายให้มากกว่า 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลาย และสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้กับโซลูชันต่าง ๆ

แอลจีมุ่งจะปฏิวัติโมเดลธุรกิจในภาพรวม เพื่อเจาะตลาดที่นอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ เช่น คอนเทนต์ บริการต่างๆ และธุรกิจในระบบสมัครสมาชิกต่าง ๆ เพื่อเสริมการใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและโทรทัศน์ที่แอลจีผลิตอยู่แล้ว โดยแอลจีคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำไรและยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง จากผลิตภัณฑ์แอลจีที่ผู้บริโภคทั่วโลกใช้งานเป็นแพลตฟอร์มมากกว่าร้อยล้านชิ้น

เพื่อให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นดังกล่าว กลุ่มธุรกิจโฮมเอ็นเตอเทนเมนต์ (HE) ยังคงมุ่งมั่นให้บริการด้านแพลตฟอร์มสำหรับข่าวสารและสื่อบันเทิง อีกทั้งยังเร่งการเติบโตในการพัฒนาธุรกิจในกลุ่มแพลตฟอร์ม webOS ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกลุ่มธุรกิจ HE ได้เสริมความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจแพลตฟอร์ม ด้วยการขยายอีโคซิสเต็มของ webOS เข้ากับ smart monitors ระบบ IVI systems และรองรับโทรทัศน์แบรนด์ต่าง ๆ โดยแอลจีคาดว่าธุรกิจแพลตฟอร์ม webOS มีศักกายภาพที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตอันใกล้

ความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและระบบแอร์ (H&A) ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนการพลิกโฉมองค์กรแอลจีทั่วโลก โดยกลุ่มธุรกิจ H&A กำลังพัฒนาธุรกิจโซลูชันบ้านอัจฉริยะ เพื่อรวมการให้บริการและการสมัครสมาชิกเข้าไว้ด้วยกัน โดยเป้าหมายสูงสุดของบริษัท H&A คือการทำให้วิสัยทัศน์ “ลดเวลาทำงานบ้านเพื่อสร้างเวลาคุณภาพ” (Zero Labor Home, Makes Quality Time) ให้เป็นความจริง ซึ่งเป็นมากกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ทำให้การใช้ชีวิตในบ้านง่ายและสะดวกกว่าที่เคย 

ธุรกิจการสมัครสมาชิกที่เป็นบริการเสริมจากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของแอลจีในชีวิตประจำวันได้อย่างคลอบคลุม กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดประเทศเกาหลีใต้ และกำลังอยู่ในช่วงการขยายบริการไปยังต่างประเทศ ซึ่งตลาดภูมิภาคเอเชียจะเป็นแห่งแรกนอกประเทศเกาหลีใต้ที่ได้ใช้บริการเทคโนโลยีนี้

ในส่วนของยอดขายแอลจีจากธุรกิจในกลุ่มที่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ อย่างเช่น บริการคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม webOS ธุรกิจการให้บริการ และธุรกิจการสมัครสมาชิกของผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้แอลจียังจะเน้นการโปรโมทสินทรัพย์ที่ไม่สามารถจับต้องได้อย่างสิทธิบัตรเบื้องต้นของแอลจีในด้านเทคโนโลยีซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการสื่อสาร สื่อ อุปกรณ์พกพา รวมไปถึงเครือข่าย IoT และในช่วงการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ยังมีการก่อตั้งธุรกิจใหม่ที่เผยแพร่องค์ความรู้ในการสร้างโรงงานอัจฉริยะอีกด้วย

แอลจียังมุ่งสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูงและมีรูปแบบการการทำงานประสานกันที่ดี เช่น LG NOVA จะเพิ่มทุนให้กับสตาร์ทอัพถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 เพื่อเพิ่มโอกาสให้บริษัทได้คิดค้นเทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ ๆ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนนวัตกรรมแห่งอนาคต และนำไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ

เมื่อไม่นานมานี้ แอลจียังได้สร้างธุรกิจด้านการชาร์จพลังงานให้รถพลังงานไฟฟ้า EV แบบครบวงจรที่มีระบบชาร์จและการควบคุมที่ล้ำหน้า การจับสัญญาณรีโมท และการให้บริการ รวมไปถึงการวิเคราะห์แบตเตอรี่รถยนต์ พื้นฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขาย โดยบริษัทฯ ได้สร้างโรงงานผลิตตัวชาร์จเจอร์ที่สหรัฐอเมริกา เมืองฟอร์ตเวิร์ท รัฐเทกซัส เพื่อเตรียมรุกตลาดอเมริกาเหนือ

ในด้านธุรกิจดิจิทัลเพื่อสุขภาพ แอลจียังได้ขยายบริการแพทย์ทางไกลโดยร่วมมือกับ Amwell และยังจะพัฒนาระบบเพื่อให้บริการในด้านการป้องกัน การวินิจฉัยโรค การดูแลหลังการรักษา และการฟื้นฟู  นอกจากนี้ เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ยังเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจซึ่งแอลจีกำลังเตรียมทำอุปกรณ์ด้าน MR ขายในเชิงพาณิชย์ โดยในช่วงท้ายปี 2566 แอลจีได้ก่อตั้งธุรกิจ eXtended Reality ภายใต้เครือบริษัท HE ซึ่งร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในด้านเทคโนโลยีหลายราย เพื่อพัฒนาโซลูชันด้าน augmented reality (AR)  

นอกจากนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของแอลจี  ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคตของแอลจียังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโปรแกรมวิจัยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในด้านความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ และการคิดค้นเทคโนโลยีหลักใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยเน้นไปที่เทคโนโลยีใน 8 ด้านหลัก ได้แก่ ซอฟต์แวร์, ระบบบนชิปประมวลผล, ปัญญาประดิษฐ์, หุ่นยนต์, วัสดุและชิ้นส่วน, มาตรฐาน, การประมวลผลยุคใหม่และคลาวด์/ข้อมูล

มุ่งสู่ DX ด้วยการขับเคลื่อนจากข้อมูลและการลงทุนระบบ ERP ยุคใหม่

แอลจีจะมุ่งส่งมอบประสบการณ์ ‘ครั้งแรก’ ‘ที่ไม่เหมือนใคร’ และ ‘มีความแปลกใหม่’ เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ทุกคนด้วยเทคโนโลยี digital transformation (DX)

ทั้งนี้ แอลจีเดินหน้าลงทุนในธุรกิจไอทีเพื่อนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับทั้งองค์กร นอกจากนี้แอลจียังสร้าง N-ERP หรือระบบ Next-generation Enterprise Resource Planning เพื่อเชื่อมกระบวนการทางธุรกิจและกระบวนการทำงาน รวมถึงระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี Intellytics Customer 360 ซึ่งเป็นโปรแกรมในการเก็บรวมรวบข้อมูลของลูกค้าที่รวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแห่ง ซึ่งจะเข้ามาช่วยในเรื่องระบบการบริหารจัดการแบบบูรณาการ และจะถูกนำไปใช้ทั่วโลกในปีนี้

โครงการ DX ของแอลจียังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯในการพัฒนาไปมากกว่านวัตกรรมของประสบการณ์ของลูกค้า แต่รวมไปถึงการพัฒนาประสิทธิภาพของห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อ การผลิต การขนส่ง ไปจนถึงการขาย โดยในปีที่ผ่านมาแอลจีสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตจากการนำเทคโนโลยี DX มาประยุกต์ใช้กับแต่ละห่วงโซ่คุณค่ารวมเป็นมูลค่ามากกว่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐ 

มุ่งสู่เส้นทางการเป็นองค์กรสมรรถนะสูงและตอกย้ำหลักการ ‘Life’s Good’

เมื่อพูดคุยกับพนักงาน นายวิลเลียม โช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแอลจีมักจะอ้างคำพูดของ ปีเตอร์ ดรักเคอร์ นักวิชาการด้านการจัดการชื่อดังชาวอเมริกัน ซึ่งได้กล่าวว่า “วัฒนธรรมทานกลยุทธ์เป็นอาหารเช้า” โดยนายวิลเลียม โช เชื่ออย่างจริงจังว่าวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ให้เป็นการดำเนินธุรกิจที่ดี

ในช่วง ‘CEO F.U.N. Talk’ กับพนักงานในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นายวิลเลียม โช ได้ระบุถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทในปี พ.ศ. 2567 ซึ่งมีเรื่องการพัฒนาเป็นองค์กรสมรรถนะสูงเป็นหนึ่งในนั้น โดยเขาได้กล่าวว่า “เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงภารกิจ วิสัยทัศน์ และเป้าหมายของเราเข้าด้วยกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน และให้ความสำคัญกับการดำเนินงานอย่างไม่ย่อท้อ”

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิด Life’s Good ของแบรนด์แอลจี กิจกรรมแบบบูรณาการที่ครอบคลุมด้านการตลาด สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล (ESG) และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) จะเริ่มต้นในปีนี้ บริษัทฯ จะเผยแพร่ค่านิยมและปรัชญาเพื่อตอกย้ำแนวคิด Life’s Good ที่มาพร้อมกับความกล้าในการสร้างผลกระทบในเชิงบวก ขณะเดียวกันก็ผสมผสานแบรนด์เข้ากับพลังของความหนุ่มสาว แอลจีคือผู้สร้างนวัตกรรมที่กล้าเผชิญความท้าทาย เชื่อมั่นในการแสวงหาโอกาสในการพัฒนาแม้อยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และหาทางแก้ปัญหาด้วยการรับฟังและให้ความสนใจกับลูกค้าและตลาดของแอลจี