เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ ธุรกิจโตสวนกระแสโควิด รายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว ปีเสือ มุ่งเจาะลูกค้าผ่าน “อีคอมเมิร์ซ” แบบบูรณาการ

 เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์มากกว่า 10 แบรนด์ระดับชั้นนำ อาทิ พูโต, ซิลเวอร์, เกรทไททัน, ลินคอร์น, พลูโต, ซิลเวอร์, โอเล่,  วินสตาร์, เชอร์แมน และ ด็อกเกอร์  เผยธุรกิจเติบโตสวนกระแสโควิด กวาดรายได้รวมปีที่ผ่านมากว่า 540 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 166% ปัจจัยหลักมาจากไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ช่วยผลักดันตลาดโตแบบก้าวกระโดด  สำหรับ ปีเสือ..เตรียมแผนรุกตลาด Ecommerce แบบบูรณาการเต็มสูบ เชื่อมโยง Offline และ Online เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ลูกค้าร่วมกับแบรนด์ มุ่งรองรับการผันเปลี่ยนสู่ยุคเลี้ยงสัตว์แบบ Pet Parent  คาดมีมูลค่าตลาดรวมสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าโกยรายได้ 1,200 ล้านบาท 
    นายธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานบริหาร บริษัท เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ จำกัด เปิดเผยว่า “ เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ ดำเนินธุรกิจผลิต และจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง โดยใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย ผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพสูงและพิถีพิถันทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพ สารอาหารครบถ้วนและปลอดภัยตามมาตรฐานระดับสากล AAFCO ในระบบโรงงานได้ผลิตสินค้าให้กับบริษัทฯ และรับผลิตให้กับลูกค้าแบรนด์ต่างๆ (OEM) มีศักยภาพรองรับการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง อยู่ที่ประมาณ 3,000 ตันต่อเดือน โดยมีฝ่ายวิจัยและพัฒนาสินค้าให้บริการแนะนำสูตรอาหาร โดยมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม เปรียบเสมือนโรงครัวขนาดใหญ่อันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุดิบและทีมงานที่มีประสบการณ์ พร้อมผลิตสินค้าคุณภาพดีภายในประเทศไทย Product of THAILAND 
       ในช่วงระยะเวลา 2 ปี ที่ต้องเผชิญกับโควิด-19 ระบาด เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์  ได้ปรับกลยุทธ์การตลาด และการขาย ให้ตรงสู่ผู้บริโภคกลุ่มลูกค้าที่มีสัตว์เลี้ยง ผ่านระบบ Ecommerce และออนไลน์อย่างเต็มกำลังมากขึ้น ประกอบกับการส่งสินค้าออกไปยังต่างประเทศในเอเชีย CLMV. และทวีปต่างๆ ส่งผลให้ผลการดำเนินงาน และรายได้เพิ่มขึ้น 166% มียอดขายในปีที่ผ่านมา 540 ล้านบาท และในปีนี้ มีนโยบายที่จะพัฒนาสินค้า และกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศให้มากขึ้น ทั้งนี้ เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ ยังมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดสู่ต่างประเทศมากขึ้น ได้แก่ กลุ่ม CLMV, เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ตามลำดับ ซึ่งมีข้อมูลว่าปีที่ผ่านมา มีจำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นรวมกันแล้วมากกว่า 13 ล้านตัว ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของประเทศไทยที่มีอัตรา สูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก 
          เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ เล็งเห็นว่า ผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย มีความได้เปรียบคู่แข่งประเทศอื่นๆ หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบ ที่ได้จากแหล่งอุตสาหกรรมเกษตร และประมง อาทิ แป้ง ธัญพืช อาหารทะเล เมื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงก็จะให้คุณภาพดีกว่าที่อื่น อีกทั้ง ยังได้เปรียบในด้านภาษีที่เกิดจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ทำให้เราได้เปรียบกว่าประเทศอื่น  เมื่อรวมมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยทั้งหมด คิดเป็น 47%  โดยในส่วนของ เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์  มีผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 
  1. กลุ่ม Premium อาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเม็ด เจาะกลุ่มตลาดพรีเมี่ยม คือ แบรนด์ เกรทไททัน และ ลินคอร์น
  2. กลุ่ม Standard อาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเม็ดและอาหารเปียก เจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง คือ แบรนด์ พลูโต และซิลเวอร์
  3. กลุ่ม Economic อาหารสัตว์เลี้ยงเม็ด และอาหารเปียก เจาะกลุ่มตลาดระดับท้องถิ่น ที่จับต้องง่าย ลูกค้าเข้าถึงได้ไม่ยาก ได้แก่ แบรนด์ เชอร์แมน วินสตาร์ ด็อกเกอร์ และโอเล่
  4. กลุ่มทรีท และ กลุ่มสแน็ค อาทิ Starry Greatitan Snack ขนมแมวเลีย Cherman เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความเอาใจใส่ต่อสัตว์เลี้ยง ที่ดูแลเสมือนสมาชิกในครอบครัว
    โดยผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของ เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ มีวางขายในตลาดรวมแล้วมากกว่า 10 แบรนด์ ด้วยกัน และมุ่งมั่นเพัฒนาสินค้าใหม่ที่น่าสนใจเพื่อเป็นเจ้าแรกของไทยอีกด้วย
    แนวทางการดำเนินงานในปีนี้ เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ มีแผนที่จะพัฒนายกระดับองค์กร ในด้านการวิจัย และพัฒนาสินค้าให้น่าสนใจสู่ตลาด พัฒนาด้านการผลิต พัฒนาบุคลากร การดูแลทีมงานที่มุ่งมั่นทำงานอย่างไม่ย่อท้อ รวมไปถึง การเพิ่มช่องทางการจัดหน่าย ไม่ว่าจะเป็นการขยายร้านค้า Pet Shop และการกระจายจุดวางจำหน่ายสู่กลุ่ม Modern Trade ได้แก่ Top Super Market, Big C, Lotus, Makro, CJ Express เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับพันธมิตรและคู่ค้าธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบโต และขยายตัวธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงให้เติบโตควบคู่กัน และเสริมศักยภาพในการแข่งขันในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง โดยวางเป้าหมายที่จะขยายส่วนแบ่งตลาดจาก 2% เพิ่มเป็น 3% ให้ได้ภายใน 3 ปี
    สำหรับปัจจัยที่เชื่อว่าช่วยผลักดันให้ตลาดอาหารสัตว์เติบโตอย่างรวดเร็วในยุคโควิด นั่นก็คือ ไลฟ์สไตล์และวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ ซึ่งปรับเปลี่ยนจากครอบครัวขนาดใหญ่ กลายเป็นครอบครัวขนาดเล็ก อันมีสาเหตุมาจาก คนรุ่นใหม่ชื่นชอบการชีวิตโสด และคู่แต่งงานใหม่ ส่วนใหญ่ไม่ต้องการมีบุตร และสภาวะของสังคม ที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงทำให้สัตว์เลี้ยงกลายเป็นส่วนเติมเต็มชีวิตให้มีสีสันมากขึ้น อีกทั้ง รูปแบบการเลี้ยงสัตว์ของคนรุ่นใหม่ ก็เปลี่ยนจาก Pet Lover เลี้ยงแบบแค่รัก หรือ แค่อยากมีสัตว์เลี้ยง ก็ผันเปลี่ยนสู่การเลี้ยงแบบ Pet Parent รักเอ็นดูและฟูมฟัก เสมือนเป็นสมาชิกหนึ่งของครอบครัว โดยยอมจ่ายเงินสรรหาความสุขมาเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสัตว์เลี้ยง ส่งผลให้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงเติบโตมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งเป็นธุรกิจอาหารสัตว์ 45% ธุรกิจดูแลสุขภาพสัตว์ เช่น โรงพยาบาล คลินิก บริการอื่นๆ 32% และธุรกิจสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เสื้อผ้า ของเล่นซึ่งมีสัดส่23% คาดว่ามีมูลค่าตลาดไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังจะเฟื่องฟูในระยะยาว
    ทั้งนี้ ปัจจัยที่เชื่อว่าทำให้ตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตมากยิ่งขึ้น มีด้วยกัน 5 อย่าง คือ
  5. Pet Humanization การเลี้ยงสัตว์ในแบบ Pet Parent เสมือนสมาชิกในครอบครัว
    2 Friendly Pet Community การเติบโตของกลุ่มธุรกิจบริการ อาทิ โรงแรมสัตว์เลี้ยง คาเฟ่สัตว์เลี้ยง ของเล่น และเครื่องแต่งตัวสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
  6. Pet Health Care improved การเติบโตของกลุ่มรักษาพยาบาลสัตว์เลี้ยง โดยในช่วง 5 ปี โรงพยาลสัตว์มีเพิ่มขึ้นกว่า 3 พันแห่ง แบ่งเป็น คลินิกขนาดเล็ก 80%, คลินิกขนาดกลาง (ผ่าตัด) 15% และ ระดับโรงพยาบาล อีกประมาณ 5%
    4 Dual Income, No Kids (D.I.N.K) ครอบครัวขนาดเล็กไม่สนใจมีบุตร และเพศทางเลือก LGBTQ ครองคู่กันมีเพิ่มมากขึ้น
  7. Aging Population คนโสดและผู้สูงวัย เลี้ยงสัตว์ เป็นเพื่อนแก้เหงา เป็นต้น
    จากปัจจัยทั้ง 5 ที่มีอัตราเติบโต ทำให้คาดการณ์ว่า สินค้าและบริการที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจะเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 10 ปี เฉลี่ยปีละ 10% โดยได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่กระทบเลย แม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สถานการณ์การเมือง หรือ โรคระบาด เพราะคนดูแลสัตว์เลี้ยงในแบบ Pet Parent เสมือนสมาชิกในครอบครัว และยินดีใช้จ่ายกับธุรกิจและบริการต่างๆ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยภาพรวมแล้วธุรกิจสัตว์เลี้ยงทุกด้านมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน
    ดังนั้น การรุกตลาดอาหารสัตว์ เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ จะมุ่งเน้นสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ในลุคที่ดูพรีเมี่ยม By Emotional Strategy โดยจะนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆร่วมกับลูกค้า และ Partner ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยง Ecommerce แบบบูรณาการเต็มสูบ เชื่อมโยง Offline และ Online รวมถึงการใช้สื่อจอ LED ดิจิตอลบนสถานีรถไฟฟ้า BTS. จอ LED ในรถไฟฟ้า และ Digital Billboard ที่เจาะกลุ่มลูกค้าบนท้องถนนและทางด่วน เพื่อสื่อสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่
    ในส่วนของ วิสัยทัศน์การบริหาร เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการผลิต และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในเอเชียอาค์เนย์ โดยยึดมาตรฐานสากล ISO 9001 2015, HACCP, GMP และ SUCI HALAL เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้บริการลูกค้าด้วยสินค้าคุณภาพด้วยสนนราคาสมเหตุผล อีกทั้ง ยังมีนโยบายในการทำงานด้าน CSR ช่วยเหลือสังคมและสัตว์อนาถา อาทิ โครงการแบ่งปันอาหารมอบให้กับศูนย์พักพิงสุนัข และแมวจรจัด เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดสินค้าและข่าวสารกิจกรรมมากมายของ เกรท เทสท์ เพ็ท แคร์ เพิ่มเติมได้ที่ http://www.gt-pc.com นายธนพิศาล กล่าวในที่สุด