“รองนายกฯ สมศักดิ์” ย้ำพร้อมสร้างความมั่นคงให้ EEC หนุนสร้างโครงข่ายน้ำภาคตะวันออก

สทนช. บูรณาการสร้างการมีส่วนร่วมเพิ่มประสิทธิภาพการสูบผันน้ำลุ่มเจ้าพระยาและลุ่มน้ำป่าสัก จากคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ ผ่านโครงข่ายน้ำภาคตะวันออก สู้วิกฤตเอลนีโญ ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 8 ปีกว่า 64 ล้าน ลบ.ม. โดยไม่กระทบพื้นที่ต้นน้ำ สร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับพื้นที่ EEC มั่นใจเพียงพอกับความต้องการใช้ในทุกภาคส่วน
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลประสบผลสำเร็จในการสร้างความมั่นคง
ด้านน้ำให้กับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดปริมาณน้ำต้นทุนเพียงพอกับความต้องการในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และอุตสาหกรรม แม้ในช่วงที่ผ่านมามีปริมาณฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในพื้นที่รับน้ำของอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี อันเนื่องมาจากสภาวะเอลนีโญ แต่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกในการสูบผันน้ำ โดยเฉพาะการสูบผันน้ำจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำป่าสัก ผ่านทางคลองพระองค์ไชยานุชิตไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี ควบคู่ไปกับการลงพื้นที่สร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับพื้นที่ EEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังได้วางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้าถึง 2 ปีอีกด้วย


ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า การสูบผันน้ำจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำป่าสักผ่านทางคลองพระองค์ไชยานุชิตไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี โดยใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกในปีนี้นั้น สามารถสูบผันน้ำเต็มศักยภาพได้ปริมาณมากกว่าทุกปีที่่ผ่านมา เนื่องจากมีการบูรณาการร่วมกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้ง สทนช. กรมชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (อีสท์ วอเตอร์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก และคณะกรรมการลุ่มน้ำบางปะกง ให้ดำเนินการตามแผน ซึ่งตามแผนนั้นเริ่มผันน้ำตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. – 30 พ.ย.66 แต่ได้มีการลงพื้นที่สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถขยายระยะเวลาการสูบผันน้ำมาสิ้นสุดในวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา


สำหรับปริมาณน้ำที่สูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิตมากักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำบางพระในปี 2566 มีปริมาณทั้งหมด 64.69 ล้านลูกบากศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็นช่วงแรกตั้งแต่ที่ 8 ก.ค. – 30 พ.ย. ที่ผ่านมา จำนวน 58.25 ล้าน ลบ.ม. ที่เหลือเป็นปริมาณน้ำที่สูบผันน้ำในช่วงที่ขยายระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 1-15 ธ.ค.66 ตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการ CSR และประชาชนในพื้นที่คลองพระองค์ไชยานุชิต ได้กำหนดสูบผันน้ำในอัตราประมาณ 500,000 ลบ.ม. ต่อวัน และจะหยุดสูบเมื่อระดับน้ำหน้าสถานีสูบพระองค์ฯ อยู่ที่ +0.20 ม.รทก. ค่าความเค็ม ไม่เกิน 0.5 กรัมต่อลิตร และการบริหารจัดการน้ำผ่าน ปตร.บึงฝรั่ง ไม่น้อยกว่า 10 ลบ.ม. ต่อวินาที ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวขัองยังได้หารือร่วมกันเพื่อขยายกรอบเวลาการสูบผันน้ำเพิ่มเติมหากมีปริมาณน้ำเพียงพอ และอยู่ในเงื่อนไขไม่กระทบต่อการใช้น้ำของเกษตรกรต้นทาง


“สถิติการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ ที่ผ่านมา ในปี 2558 สูบผันน้ำได้
26.68 ล้าน ลบ.ม. ปี 2559 สูบผันน้ำได้ 62.12 ล้าน ลบ.ม ปี 2560 สูบผันน้ำได้ 16.55 ล้าน ลบ.ม ปี 2561 สูบผันน้ำได้ 38.19 ล้าน ลบ.ม ปี 2562 สูบผันน้ำได้ 46.66 ล้าน ลบ.ม ปี 2563 สูบผันน้ำได้ 42.17 ล้าน ลบ.ม ปี 2564 สูบผันน้ำได้ 15.13 ล้าน ลบ.ม ปี 2565 สูบผันน้ำได้ 15.84 ล้าน ลบ.ม และล่าสุด ปี 2566 สามารถสูบผันน้ำได้ถึง 64.69 ล้าน
ลบ.ม. มากที่สุด โดยไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อพื้นที่ต้นน้ำ”ดร.สุรสีห์ กล่าว
เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า นอกจากการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิต ยังได้มีการสูบผันน้ำแม่่น้ำบางปะกงมายั’อ่างเก็บน้ำบางพระอีกด้วย ซึ่งในปี 2566 สามารถสูบน้ำได้รวม 24.85 ล้าน ลบ.ม. อย่างไรก็ตาม เมื่อสูบผันน้ำมาเก็บไว้แล้วจะมีการจัดสรรน้ำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ทำให้อ่างเก็บน้ำบางพระล่าสุด มีปริมาณน้ำ 88 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 75% เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ EEC เขตจังหวัดชลบุรีและระยอง ทั้งหมด 11 แห่ง มีปริมาณน้ำรวม 632.54 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 84.50 % ของความจุเพียงพอกับความต้องการใ่ช้น้ำของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมในช่วงฤดูแล้งปี 2566/67 และช่วงต้นฤดูฝนปี 2567 อย่างแน่นอน
“ที่ผ่านมาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC สทนช. ได้มีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนรองรับสถานการณ์เอลนีโญ เพื่อสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ EEC นอกจากจะมีการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์
ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และการสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง-อ่างเก็บน้ำบางพระ ดังกล่าวแล้ว ยังได้มีการสูบ
ผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล การสูบน้ำจากสถานีสูบน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์
การสูบผันน้ำจากคลองวังโตนด-อ่างเก็บน้ำประแสร์ และการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่
ผ่านโครงข่ายน้ำภาคตะวันออกเพื่อเติมน้ำต้นทุนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย พร้อมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องการดำเนินงานตาม 9 มาตรการรับมือฤดูแล้งอย่างเคร่งครัด” เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำในตอนท้าย